กระดาษซับลิเมชั่นคือ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับกระดาษซับลิเมชั่นกันก่อน กระดาษซับลิเมชั่นก็ดูๆ เหมือนจะคล้ายกับกระดาษอาร์ทหรือกระดาษปอนด์โดยทั่วๆ ไปที่เราใช้ในการเขียนหนังสือ วาดรูป หรือพิมพ์รายงานค่ะ แต่จะมีข้อแตกต่างตรงที่กระดาษซับลิเมชั่น จะมีคุณสมบัติพิเศษที่เหนือกว่ากระดาษทั่วไปคือ น้ำหมึกที่พิมพ์ลงบนกระดาษจะสามารถถ่ายเทออกได้ง่ายเมื่อถูกแรงกดและความร้อนค่ะ ซึ่งจะนำมาใช้กับการพิมพ์เสื้อผ้าแบบดิจิตอลทรานส์เฟอร์ หรือเรียกเต็มๆ ว่า Digital Dye Sublimation Transfer ซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน สเปกที่เราจะมักได้ยินกันส่วนใหญ่ ก็จะมีการแบ่งตามความหนาแน่นของเนื้อใยกระดาษ เหมือนกับกระดาษโดยทั่วไปค่ะ อย่างที่เคยได้ยินว่า กระดาษ A4 รีมนี้ ขนาด 100 แกรม ส่วนรีมนี้ แค่ 70 แกรม ซึ่งยิ่งเลขแกรมเยอะ ก็จะหนากว่า และราคาก็มักจะเพิ่มขึ้นตามหน่วยแกรมที่เพิ่มขึ้นด้วย
ความหนากแน่นระดาษ
คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เราจะวัดความหนาแน่นของกระดาษแล้วนำมาเป็นหน่วยในการแบ่งประเภท เพราะเนื่องจากมันบางมากๆ วิธีการที่เราใช้กันก็คือใช้การชั่งน้ำหนักค่ะ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ากระดาษหนาย่อมมีน้ำหนักมากกว่ากระดาษบาง โดยการวัดจะวัดน้ำหนักของกระดาษเทียบกับขนาดพื้นที่ 1 ตารางเมตร หน่วยที่ใช้จึงเขียนแบบเต็มๆ เป็นน้ำหนักกระดาษ เช่น กรัมต่อตารางเมตร หรือ g/ sq.m. หรือ gram per square-meter หรือ gsm. หรือเรียกสั้น อย่างที่เราคุ้นเคยกันว่า “แกรม” นี่แหล่ะค่ะ
แล้วจะเลือกกระดาษซับลิเมชั่นอย่างไร..?
อย่างแรกเลย การเลือกใช้กระดาษซับลิเมชั่นนั้น ต้องดูที่ความหนาแน่นของกระดาษ โดยปกติเราจะคุ้นเคยกันอยู่สองสามขนาดค่ะ เช่น กระดาษซับลิเมชั่น ขนาด 105 แกรม หรือกระดาษซับลิเมชั่นขนาด 100 แกรม ใช่ว่ากระดาษที่หนาแน่นกว่าจะดีกว่าเสมอไป อีกเรื่องที่เราต้องดูและเข้าใจกันคือเรื่องของความสามารถในการรองรับหมึกค่ะ ศัพท์ทางวงการเราจะเรียกกว่า การดูค่า Ink Limit ของกระดาษ แน่นอนอยู่แล้วว่า ถ้ากระบวนการผลิตและคุณภาพของเส้นใยแบบเดียวกัน กระดาษขนาด 105 แกรม ย่อมจะสามารถรองรับปริมาณน้ำหมึกได้มากกว่ากระดาษที่มีขนาด 100 แกรม เนื่องจากมีความหนาแน่นของเนื้อกระดาษอยู่ แต่ใช่ว่ากระดาษที่มีขนาด 105 แกรมเหมือนๆ กันจะรองรับหมึกได้ดีเท่ากันนะคะ เพราะมันจะขึ้นอยู่กับคุณภาพเส้นใยด้วยค่ะ ดังนั้นต้องเลือกให้ดี เพราะกระดาษที่มีความสามารถในการรองรับหมึกได้ดี แน่นอนว่า มีโอกาสในการถ่ายเทหมึกขณะทรานส์เฟอร์ลงเนื้อผ้าได้ดีกว่า ซึ่งเราจะได้สีของงานที่สดกว่า สวยกว่า